การกินเป๊ปซี่ โค้กหรือน้ำอัดลม ทำให้กระดูกพรุนได้จริงหรือ ?

ผู้เขียน teerinjue |

สารบัญ

น้ำอัดลมมีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณมาก

น้ำอัดลมมีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณมาก

น้ำอัดลมเป็นอาหารยอดนิยมของคนทั่วโลก เพราะมีรสชาติที่อร่อย ดื่มแล้วสดชื่น รู้สึกมีความสุข และช่วยเพิ่มรสชาติให้กับมื้ออาหารอย่างที่เราปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำอัดลมที่มีสีดำอย่าง เช่น เป๊ปซี่ โค้ก ที่พบเห็นได้ในทุกเมนูอาหารตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด (เพิ่มอีก 5 บาทได้แก้วใหญ่กินกันจนท้องอืด) รสชาติที่ดีของน้ำอัดลมทำให้มีคนจำนวนมากสั่งน้ำประเภทนี้ดื่มกันเป็นประจำและเป็นปกติ จนลืมไปว่าน้ำอัดลมก็มีโทษต่อร่างกายในหลายแง่มุม ตั้งแต่เรื่องความอ้วนไปจนถึงโรคกระดูกพรุน

ส่วนผสมที่เป็นโทษในน้ำอัดลม

1. น้ำตาล

เป็นส่วนผสมยอดนิยมในอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด มีหน้าช่วยให้ความหวานทานแล้วรู้สึกดี ซึ่งการผสมน้ำตาลลงในอาหารในสมัยก่อนจะเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติ เช่น น้ำตาลโตนด น้ำตาลมะพร้าว และเปลี่ยนมาเป็นน้ำตาลทรายที่ผลิตจากอ้อย จนมาถึงในยุคปัจจุบันที่การใช้น้ำตาลในรูปแบบของเหลวหรือไซรัปได้รับความนิยมสูงสุด เพราะราคาถูกกว่าน้ำตาลทรายและให้ความหวานได้มากกว่า ท่านจะสังเกตเห็นได้ตามร้านกาแฟต่างๆที่ไม่เซิร์ฟน้ำตาลทรายสำหรับใส่กาแฟแล้ว แต่จะเซิร์ฟเป็นไซรัปแทน หรือไม่ก็ขนมจำพวกเบเกอรี่ที่หันมาใช้ไซรัป รวมถึงน้ำอัดลม โค้ก เป๊ปซี่ที่เรากำลังพูดถึงตอนนี้ด้วย

น้ำตาลเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เช่น ช่วยทำให้อาหารและเครื่องดื่มมีรสชาติดี ให้พลังงานกับร่างกาย ทานแล้วทำให้รู้สึกสดชื่น แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดีกับความต้องการของร่างกาย การบริโภคน้ำตาลของคนในยุคปัจจุบันเป็นไปอย่างพร่ำเพรื่อไม่ค่อยได้คำนึงถึงสุขภาพกันมากนัก เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไปพฤติกรรมการบริโภคของคนก็เปลี่ยนไป โดยคนส่วนใหญ่หันมาบริโภคอาหารแปรรูป (น้ำอัดลมก็เป็นอาหารแปรรูปชนิดหนึ่ง) ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลกันมากขึ้น เพราะรสหวานเป็นรสชาติที่ทำให้คนเรามีความสุขและติดได้ง่าย รวมถึงความสะดวกในการซื้อหามาบริโภค อร่อยและราคาถูกด้วย

ในน้ำอัดลมเกือบทุกชนิดมีส่วนผสมของน้ำตาลจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทรายหรือไซรัป ทำให้ผู้ที่นิยมรับประทานน้ำอัดลมมีโอกาสได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินความจำเป็น ซึ่งอะไรที่เกินความจำเป็นหรือขาดความพอดีมักจะมีโทษตามมาภายหลังเสมอ น้ำตาลก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีประโยชน์ในหลายแง่มุม แต่ถ้าหากบริโภคเกินพอดีย่อมทำให้เกิดผลเสียดังต่อไปนี้

ข้อเสีย

  • ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่าย ทานมากเกินไปแล้วเป็นโรคอ้วน
  • ทำให้ป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบเผาผลาญ เช่น โรคเบาหวาน
  • ทำให้ป่วยเป็นโรคหัวใจและไขมันอุดตันเส้นเลือด
  • ทำให้ฟันผุ

2. คาเฟอีน

คาเฟอีนเป็นส่วนผสมที่พบได้ทั่วไปในน้ำอัดลมหลายชนิด โดยเฉพาะเป็ปซี่ โค้ก (เครื่องดื่มน้ำดำ) และพบได้ในชา กาแฟ ช็อกโกแลต และเครื่องดื่มชูกำลัง คาเฟอีนเป็นสารที่พบได้ในธรรมชาติ และสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้ในห้องแลป

ปริมาณคาเฟอีนที่บริโภคได้ต่อวัน คือ น้อยกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือกาแฟทั่วไปไม่เกิน 4 แก้ว คาเฟอีนเป็นสารที่มีประโยชน์ คือ ช่วยให้ร่างกายสดชื่นตื่นตัว ลดความเหนื่อยล้า ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน และช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย อย่างไรก็ตาม คาเฟอีนเองก็มีโทษเช่นกัน คือ ทำให้เกิดอารมณ์วิตกกังวล เพิ่มความดันโลหิต และกระตุ้นให้ร่างกายปัสสาวะบ่อยขึ้น

หากร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกินไป จะมีผลเสียที่ได้รับต่ออวัยวะหลายส่วน ตั้งแต่สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ หู ปอด กระเพาะอาหารและไต ในรูปแบบของอาการต่างๆกันไป รวมถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญเสียมวลกระดูกและอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้หากได้รับคาเฟอีนมากเกินไปในระยะยาว

3. กรดฟอสฟอริก

เป็นกรดสังเคราะห์ที่มีลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ที่มักจะใส่ในเครื่องดื่มอัดลม เช่น โค้ก เป๊ปซี่ เพื่อทำให้มีรสเปรี้ยวและความรู้สึกซ่าๆในปาก เวลาดื่มแล้วสดชื่น น้ำอัดลมมีความเป็นกรดมากกว่าน้ำมะนาวและน้ำส้มสายชูเนื่องจากส่วนผสมของกรดฟอสฟอริกนั่นเอง

กรดฟอสฟอริกเป็นกรดที่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง รวมถึงการกำจัดสนิมออกจากโลหะ หลายท่านอาจเคยได้ยินข่าวการทดลองนำน้ำอัดลมยี่ห้อดังมาล้างสนิม และมีการแสดงให้เห็นว่าล้างสนิมได้จริง เพียงแต่ต้องมีการขัดที่ตัวโลหะที่มีสนิมด้วย อย่างไรก็ตาม หากท่านยังสงสัยข้อมูลเรื่องนี้ ผู้เขียนแนะนำให้ลองซื้อน้ำอัดลมยี่ห้อดังที่เป็นสีดำมาทดลองขัดสนิมที่บ้านดูก็ได้ แล้วท่านอาจจะต้องตกตะลึงกับผลที่ได้ครับ 🙂

การบริโภคน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของกรดฟอสฟอริกแม้เพียงปริมาณน้อยก็ทำให้เกิดโรคฟันผุได้ นอกจากนี้น้ำอัดลมยังมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง นิ่วในไต รวมถึงทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลงหรือจะกล่าวว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคกระดูกบางและโรคกระดูกพรุนได้ด้วย

4. สารให้ความหวานแทนน้ำตาล

มีอยู่หลากหลายชนิดมาก ทำหน้าที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลทั่วไป ได้แก่ แซคคาริน แอสปาแทม นีโอเทม อะซีซัลเฟม-เค ไซคลาเมต เป็นต้น สารให้ความหวานแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเฉพาะตัว ทั้งการละลายน้ำและรสชาติหวานที่แตกต่าง (บางชนิดมีรสขมเล็กน้อย บางชนิดมีกลิ่นโลหะ) รวมถึงความหวานที่มากน้อยแตกต่างกันเมื่อเทียบกับน้ำตาลปกติ

สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีการใช้อย่างแพร่หลายเนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้

  • ช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะเชื่อว่าการทานสารให้ความหวานทดแทน จะช่วยลดแคลอรี่หรือลดพลังงานที่ร่างกายได้รับน้อยกว่าการทานน้ำตาลปกติ
  • ช่วยป้องกันฟันผุ สารให้ความหวานทดแทนไม่ทำให้ฟันผุ
  • ใช้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานจะมีปัญหาเรื่องของการดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหลังจากทานอาหารอิ่ม (โดยปกติแล้วอินซูลินจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง โดยทำให้น้ำตาลถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ คนที่เป็นเบาหวานถึงแม้จะมีอินซูลินหลั่งออกมา แต่ระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่ค่อยลดหรือลดน้อย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดยังสูงอยู่)
  • ใช้สำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากความผิดปกติของการหลั่งอินซูลินมากเกินไปหลังรับประทานอาหาร ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำกว่าค่าปกติ
  • สารให้ความหวานทดแทนมีราคาถูกกว่าน้ำตาลปกติ ทำให้ลดต้นทุนในการผลิตสินค้าที่มีรสหวานได้

ในธุรกิจการทำน้ำอัดลม สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมักจะผสมอยู่ในน้ำอัดลมที่โฆษณาว่า “แคลอรี่เป็นศูนย์” หรือ “พลังงานต่ำ” กล่าวคือ พลังงานที่ร่างกายจะได้รับจากการทานน้ำอัดลมจะน้อยมากเมื่อเทียบกับสูตรปกติที่ใช้น้ำตาลหรือไซรัปเป็นส่วนผสม

ถึงแม้ว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลจะมีประโยชน์มากมายในความเข้าใจของคนบางส่วน ในทางตรงข้าม ก็มีนักวิทยาศาสตร์อีกส่วนหนึ่งที่ทำการทดลองแล้วแสดงผลการทดลองออกมาว่า สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีโทษดังต่อไปนี้

  • มีแนวโน้มที่จะเป็นสารก่อมะเร็งเพราะผลิตจากการสังเคราะห์ด้วยสารเคมีในห้องแลป
  • สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลไม่ได้ช่วยในการลดน้ำหนัก แต่กลับทำให้น้ำหนักขึ้น เพราะจะทำให้ร่างกายต้องการอาหารมากขึ้น ท่านจะทานมากขึ้นในมื้อถัดไป
  • จากการทดลองทั้งในหนูและคน สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ผ่านกระบวนการปรับเปลี่ยนสัดส่วนและการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้

ส่วนตัวแล้วถ้าผู้เขียนเลือกได้ จะเลือกทานน้ำตาลปกติมากกว่าสารทดแทนความหวาน เพราะมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า แต่จะจำกัดให้มีปริมาณที่เหมาะสม

5. สีและกลิ่น

สีในน้ำอัดลมทำให้ผลิตภัณฑ์ดูดี สะดุดตา มองเห็นได้ง่ายและน่ารับประทาน ส่วนกลิ่นก็เป็นส่วนเสริมที่ช่วยให้รสชาติอาหารดีขึ้นหรือช่วยให้อร่อยนั่นเอง ในทางสุขภาพแล้ว สีและกลิ่นเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์อันใดต่อร่างกายเลย พอร่างกายของเราได้รับสีและกลิ่นเหล่านี้เข้าไป สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ร่างกายต้องอาศัยอวัยวะ คือ ตับและไต ในการกำจัดสารเคมีเหล่านี้ออกไป ดังนั้น ยิ่งทานน้ำอัดลมมากเท่าไร ตับและไตของเราก็ต้องทำงานหนักมากเท่านั้น!

น้ำอัดลมเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกพรุนอย่างไร ?

สารที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกพรุนในน้ำอัดลมจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ กรดฟอสฟอริกและคาเฟอีน ซึ่งมีแน่นอนในน้ำอัดลมที่เป็นสีดำ (แต่มีในน้ำอัดลมสีอื่นไหม อันนี้ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของผู้ผลิตแต่ละยี่ห้อ)

ในส่วนของกรดฟอสฟอริกกับโรคกระดูกพรุน มีผลงานวิจัยออกมา 2 รูปแบบ

1. ส่วนหนึ่งแสดงผลแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า “ไม่มีหลักฐานหรือผลการทดลองที่แน่ชัดว่ากรดฟอสฟอริกมีผลทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกระดูกหากเราได้รับอาหารที่มีแคลเซียมมากเพียงพอ”

2. ในอีกส่วนหนึ่งก็มีผลการวิจัยออกมาว่า “การดื่มน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของกรดฟอสฟอริก จะส่งผลให้ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (PTH) หลั่งออกมามากขึ้น ซึ่งการหลั่งของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ที่มากเกินไปมีผลต่อการสูญเสียแคลเซียมหรือมวลกระดูก”

ในส่วนข้อ 2 เราจะไม่พูดถึงเพราะผลการทดลองชัดเจนอยู่แล้วว่ากรดฟอสฟอริกมีผลทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน

แต่เราจะมาวิเคราะห์ผลการทดลองในส่วนที่ยังไม่มีความแน่ชัดในข้อ 1 กัน

การดื่มน้ำอัดลมทำให้ร่างกายได้รับกรดฟอสฟอริกเข้าไปหรือได้รับฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย กระดูกของคนเราส่วนใหญ่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ แต่ก็มีฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบด้วยเช่นกัน กระดูกจะแข็งแรงได้ร่างกายต้องได้รับเกลือแร่ทั้งสองชนิดในอัตราที่สมดุล นั่นหมายความว่า แคลเซียมกับฟอสฟอรัสต้องไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป

ถ้าร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไปจะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดโรคกระดูกบางและกระดูกพรุนได้

ถ้าร่างกายได้รับแคลเซียมมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดซึมฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย ทำให้การสร้างมวลกระดูกไม่ดีเท่าที่ควร

ดังนั้น อัตราส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสที่ร่างกายได้รับมีความสำคัญต่อความแข็งแรงของกระดูกมาก!

โดยส่วนใหญ่คนเราจะได้รับฟอสฟอรัสผ่านทางอาหารอย่างเพียงพอ เพราะอาหารที่คนเราทานกันเป็นประจำมักจะมีฟอสฟอรัสอยู่ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น

  • ไข่
  • เนื้อหมู
  • เต้าหู้
  • ถั่ว
  • เมล็ดฟักทอง
  • ชีส
  • ปลาทะเล

หรือจะพูดง่ายว่า ฟอสฟอรัส มีอยู่ในอาหารทั่วไปที่คนเราทานกันเป็นประจำ ร่างกายของเราจึงไม่ขาดฟอสฟอรัสนั่นเอง! หรือถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เราจะหาอาหารเสริมฟอสฟอรัสตามท้องตลาดยากมาก ไม่ค่อยมีบริษัทไหนผลิตออกมาจำหน่าย เพราะคนปกติส่วนใหญ่ได้รับฟอสฟอรัสกันเพียงพออยู่แล้ว หรือถ้ามีก็จะเป็นในลักษณะของอาหารเสริมเกลือแร่ชนิดอื่นที่มีฟอสฟอรัสผสมอยู่ด้วย ถ้าท่านไม่เชื่อลองค้นดูใน Google หรือถามตามร้านขายยาดูก็ได้ครับ

การดื่มน้ำอัดลมเป็นการเพิ่มฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย ผู้เขียนตั้งคำถามว่า หากวันหนึ่งๆท่านได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณที่เพียงพอจากอาหารแล้ว การดื่มน้ำอัดลมเพิ่มเข้าไปจะทำให้อัตราส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสเป็นอย่างไร ? สมมุติว่าท่านได้รับแคลเซียมเพียงพอต่อวันแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่พอจะบอกได้คร่าวๆคือ อัตราส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสไม่สมดุล ร่างกายของเราอาจได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไป และจะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกและอาจป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนได้

ดังนั้น สำหรับผลงานวิจัยที่บอกว่า “ไม่มีหลักฐานหรือผลการทดลองที่แน่ชัดว่ากรดฟอสฟอริกมีผลทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกระดูกหากเราได้รับอาหารที่มีแคลเซียมมากเพียงพอ” ก็คงเป็นความจริงในลักษณะที่มีเงื่อนไข เพราะตรงประโยคที่ว่า “หากเราได้รับแคลเซียมมากเพียงพอ” นั้นเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้กระดูกของเราแข็งแรงหรืออ่อนแอ และหมายความว่า ถ้าร่างกายเราได้รับฟอสฟอรัสที่มากขึ้น เราจำเป็นต้องได้รับแคลเซียมในปริมาณที่มากขึ้นเช่นกัน จึงจะทำให้อัตราส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัสอยู่ในระดับที่พอดีหรือสมดุลได้

ในส่วนของคาเฟอีน มีผลงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนและให้ผลที่ตรงกันว่า การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่มากเกินไป มีผลทำให้สูญเสียมวลกระดูกและรายละเอียดเพิ่มเติม อ่าน คาเฟอีนกับโรคกระดูกพรุน ?

สรุป

การดื่มน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของกรดฟอสฟอริกและคาเฟอีน (โดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำอัดลมสีดำ) มีผลต่อการสูญเสียแคลเซียมและมวลกระดูกของร่างกาย และอาจส่งผลให้ป่วยเป็นโรคกระดูกบางและโรคกระดูกพรุนได้

น้ำอัดลมไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเลย จริงๆแล้วผู้เขียนถือว่าเป็นอาหารที่ทานเอาความอร่อยและความพึงพอใจเท่านั้น การบริโภคจึงควรจำกัดในปริมาณที่พอดี และไม่ทานบ่อยจนเป็นนิสัย เพราะนอกจากความเสี่ยงเรื่องกระดูกพรุนแล้ว น้ำอัดลมยังมีส่วนผสมของน้ำตาลที่ทำให้เป็นโรคน้ำหนักเกินมาตราฐานหรือโรคอ้วน ฟันผุ โรคหลอดเลือดและหัวใจ และโรคเบาหวาน และส่วนผสมของสีและกลิ่นทีทำให้ร่างกายต้องทำงานหน้กในการกำจัดออก แนะนำว่า ถ้าเลี่ยงการดื่มได้ก็ควรเลี่ยงหันมาดื่มน้ำเปล่ากันจะดีต่อสุขภาพมากกว่าครับ

ธีริน เจริญอนันต์กิจ

ประสบการณ์ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมญี่ปุ่น 8 ปีในฐานะวิศวกร แต่มีความสนใจทางด้านการออกกำลังกาย สุขภาพ สมุนไพรและอาหารเสริม รวมถึงมีความสนใจด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ชื่นชอบการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ผ่านการเขียนบล็อก สนุกกับการทำการตลาดออนไลน์ และเป็นนักเก็งกำไรในตลาดทุน

วิตามินดีมีประโยชน์กับโรคกระดูกพรุนอย่างไร?

ด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของคนในยุคปัจจุบันที่มักจะนั่งทำงานในที่ร่มและไม่ค่อยรับแสงแดด ส่งผลให้ร่างกายมักจะขาดวิตามินชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "วิตามินดี" วิตามินดีเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อกระดูก เพราะเป็นวิตามินที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย...

read more

เคล็ดไม่ลับการกินอาหารต้านและชะลอกระดูกพรุน

อาหารมีส่วนสำคัญต่อความแข็งแรงของกระดูก เพราะเป็นสิ่งที่เราบริโภคเข้าสู่ร่างกายทุกวัน วันละอย่างน้อย 3 มื้อ ทุกครั้งที่เราทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะทำการย่อยและดูดซึมสารอาหารโดยอวัยวะต่างๆ หากอาหารที่เราบริโภคเป็นอาหารที่มีประโยชน์...

read more